เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓o ธ.ค. ๒๕๖๒

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๒

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมๆ สัจธรรม

เราทางโลก ในการพัฒนา เราก็เห็นของเรา เด็กกว่ามันจะโตขึ้นมาอยู่ที่พ่อแม่เขาฝึกอบรมมา นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันลึกลับซับซ้อน คำว่า “ลึกลับซับซ้อน” ซับซ้อนจนคนที่ไม่มีอำนาจวาสนาบารมีเป็นไปไม่ได้ คำว่า “เป็นไปไม่ได้” พวกเรานี่คิดกันเอง มันเป็นธรรมชาติ มันมีของมันอยู่แล้ว

แต่ถ้ามันมีของมันอยู่แล้ว เห็นไหม เวลาหลวงตา หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติ กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเน้นย้ำทุกวัน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัย ไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนาไม่มี

ศาสนาที่มี ลัทธิความเชื่อในโลกนี้ แล้วแต่พระเจ้าจะประทาน เราทำงานมาเกือบเป็นเกือบตาย ต้องให้คนอื่นมาเป็นคนมาชี้ถูกชี้ผิดหรือ

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เป็นอย่างนั้น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่คนที่เป็นที่พึ่งแห่งตน คนต้องมีอำนาจวาสนา ไม่มีอำนาจวาสนานะ มันเชื่อกิเลสของมันเอง จินตนาการไปทั้งสิ้น วาดภาพของมันไป

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมัยพุทธกาลนะ เวลาท่านออกประพฤติปฏิบัติ นั่นก็พระอรหันต์ นี่ก็พระอรหันต์ พระอรหันต์เต็มอินเดียเลย ไปศึกษามาแล้วไม่เห็นมีเลย มันไม่มีเพราะอะไร มันไม่มีเพราะว่าความทุกข์ของเรามันไม่ได้แก้ไขไปไง

เวลาเขาบอกเขาเป็นพระอรหันต์ เขาเผยแผ่ธรรม

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ออกไปฝึกหัดภาวนากับเขา เขายิ่งชื่นชมยกย่องสรรเสริญกันไปไง มันเข้าข้างตัวมันเอง มันเข้าข้างความคิดของมันเอง มันก็ว่าของมันไปตามจินตนาการของมัน ถ้าได้ฌานสมาบัติ ได้อภิญญา มันลึกลับมหัศจรรย์ นี่ผู้วิเศษ ผู้วิเศษคือผู้ที่เหาะเหินเดินฟ้า รู้วาระจิตคนอื่น นั่นน่ะผู้วิเศษ แต่ไม่ใช่มรรค ไม่ใช่

มรรคคืออริยสัจธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา ธรรมจักรที่เข้าไปบดบี้กิเลสในใจของตน เวลามันจะบดบี้ในใจของตน มันมีความมหัศจรรย์ มันลึกลับขนาดไหน ถ้าคนไม่มีอำนาจวาสนา ดูสิ ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะเราไม่เชื่อพวกปุถุชน พวกเราประชาชนหรือชาวโลกพูดหรอก เราเชื่อคำพูดของหลวงปู่มั่น เราเชื่อคำพูดของหลวงตา ที่ท่านกราบแล้วกราบเล่าๆ นั่นน่ะคือพระอรหันต์ ท่านมีอำนาจวาสนาของท่าน

เวลาท่านพูดขึ้นมาว่า ท่านซาบซึ้งบุญคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่รื้อค้นสิ่งนี้ขึ้นมาให้เราปุถุชนได้ค้นคว้า ได้แสวงหา

นี่เราเชื่อคำพูดของหลวงปู่มั่น เราเชื่อคำพูดของครูบาอาจารย์เรา เราไม่เชื่อหรอกไอ้ปากสกปรกน่ะ ถ้าหลวงตาบอก ไอ้ปากอมขี้

นั่นมันเรื่องของเขา แต่ถ้าเราอยู่ในสังคมนะ ในสังคมเราต้องรักษาตัวเรา เราต้องเจอสภาพแบบนั้นน่ะ เราต้องเจอสภาพ โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเลื่อมยศ เราต้องอยู่ในสังคมอย่างนี้ ถ้าเราอยู่ในสังคมอย่างนี้ เรามีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เราฝึกหัดของเราๆ เราจะฝึกหัดของเรา เห็นไหม

เวลาคนมาวัดมาวา เขาว่าไอ้พวกที่มีปัญหา ไอ้พวกที่ไปวัดไปวาเขาเรียกคนโง่ ทรัพย์สมบัติหามาแล้วก็เที่ยวเสียสละเจือจานไป นี่เวลาไอ้พวกนั้นมันพูดไง

แต่ของเรานะ ถ้าใจเป็นธรรมๆ น่ะ ใจเป็นธรรมนะ ไม่ต้อง อนุโมทนาทานไปกับเขา ตรงนี้สำคัญมาก เห็นคนดีทำดีแล้วอนุโมทนาไปกับเขา

เห็นคนดีทำดีขัดขาเลย เห็นคนดีทำดี อิจฉาเลย เห็นคนดีทำดี ยุแยกให้มันแตกแยกเลย นี่ไง มันไม่อนุโมทนาไปกับเขาไง ถ้ามันอนุโมทนาไปกับเขานะ ประเทศเราจะน่ารื่นรมย์น่าอยู่ขึ้นเยอะไหม ในสังคมในบ้านเราน่าอยู่ไหม มันน่าอยู่ทั้งนั้นน่ะถ้าเป็นธรรม แล้วเป็นธรรมๆ มันมาจากไหนล่ะ

มันมาจาก เห็นไหม ทุกคนเกิดมามีทิฏฐิมานะ มีอีโก้ มีความรู้สึก มีความนึกคิด มันเป็นสิทธิ์ มันเป็นสิทธิ์ของทุกๆ คนจะคิดอะไรก็ได้เป็นอิสรภาพในใจ เราเป็นมนุษย์ไง เรามีสิทธิเสรีภาพจะคิด เชิญ

แต่ถ้าเรามีอำนาจวาสนานะ มีอำนาจวาสนานะ คนเกิดมาทำไม เราเกิดมามีอะไรเป็นแก่นสาร แล้วอะไรมันเป็นคนเกิดคนตาย

พอมันศึกษาขึ้นมาแล้ว มันค้นคว้าขึ้นมานะ ผู้ที่ยังไม่ได้เข้ามาศึกษาในพระพุทธศาสนาก็บอกว่า พระพุทธศาสนาคร่ำครึๆๆ เวลามันมาศึกษาในพระไตรปิฎกมันงงเลยน่ะ พูดถึงการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย พูดถึงเวรกรรมของสัตว์ที่มันได้รับวิบากกรรมของมัน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดนั้น ไอ้นั่นคืออะไร ไอ้นั่นคือวิบาก คือผลของการกระทำ ผลของการกระทำที่ทำแล้ว จริตนิสัยของจิตมันมีเวรมีกรรม มันถึงได้มาเสวยภพเสวยชาติอย่างนี้ไง ไอ้นั่นมันวิบาก มันเป็นผลแล้ว แล้วผลมันมาจากไหน

เวลาผล ผลมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นๆ ขึ้นมาไง พระพุทธศาสนาไม่เชื่อใดๆ เลย ไม่เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น ให้เชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

พระธรรมๆ สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง อย่างอื่นไม่เชื่อทั้งสิ้น ไม่เชื่อเพราะอะไร เพราะมันก็เหมือนเรานี่แหละ เราก็เหมือนเขา เขาก็เหมือนเรา มันก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเหมือนกัน มีสิทธิเสรีภาพเกิดมาเท่ากัน มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกัน แต่ถ้าเราเป็นชาวพุทธไง เวลาชาวพุทธเอาตามเนื้อหาสาระนะ

หลวงตาท่านพูดประจำ ไม่มีอำนาจวาสนาไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนานะ

ไปศาสนาไหนอ้อนวอนขอก็จบ พระพุทธศาสนานะ ต้องให้ทำเองๆ โอ๋ย! ทุกข์เกือบตายจะทำอะไร เราทุกข์อยู่แล้วไง เราทุกข์ ในหัวใจเราทุกข์เรายาก เราต้องการคนช่วยเหลือเจือจาน ช่วยเหลือคุ้มครองดูแลไง

แล้วเวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาหลวงตาท่านเทศน์ไง ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครองไง

เราจะเอาเหรียญคุ้มครองนะ เอาสมเด็จองค์ใหญ่ๆ คุ้มเลย

แต่ในสัจจะความจริงในพระพุทธศาสนา ศีลธรรมคุ้มครองเรา คุ้มครองเพราะอะไร คุ้มครองเพราะเรามีศีล ๕ เราไม่เบียดเบียนเขา ไม่ทำลายเขา เราเป็นคนมีเมตตาต่อเขา มันคุ้มครองหมด คนดีน่ะธรรมคุ้มครอง แล้วเวลาธรรมคุ้มครองมันมาจากไหนล่ะ มันก็มาจากการกระทำของเรานี่แหละ

ไอ้นี่ใช้ธรรมคุ้มครอง แต่มันผิดศีล เที่ยวจี้เที่ยวปล้น เที่ยวทำลายเขา แล้วบอกว่าห้อยพระองค์ใหญ่ๆ นะ แต่มันทำผิดศีลของมันตลอดไง แล้วมันจะเป็นประโยชน์กับใครล่ะ พระพุทธศาสนาสอนที่นี่ไง มันไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง

มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึก ในบ้านเราทุกบ้านมีหิ้งพระ ในบ้านเรามีที่พึ่งอาศัย ในบ้านเรา พระอรหันต์ในบ้านก็มีพ่อแม่นั่นน่ะ ดูแลพ่อแม่ รักษาพ่อแม่ พ่อแม่เราให้ชีวิตนี้มา เราจะหาสมบัติพัสถานมามากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่มีชีวิตมันมีค่าตรงไหน ถ้าเราไม่มีชีวิตเรา เราจะได้ความสุขความทุกข์มาจากไหน

ความสุขความทุกข์ขึ้นมาเพราะเรามีชีวิตไง

แล้วชีวิตนี้มาจากไหน

ชีวิตนี้มาจากพ่อจากแม่ กำเนิด ๔ ในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ ถ้าจะเกิดเป็นมนุษย์ต้องเกิดในครรภ์ ถ้าเกิดในครรภ์ ในครรภ์ของใคร

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนางมหามายา พุทธมารดาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องปรารถนา ปรารถนาเป็นพุทธมารดานะ

คนที่จะเป็นสหชาติ คำว่า “ปรารถนา” ปรารถนาคือพยายามทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดีทำบุญกุศลของเรา พยายามปรับหัวใจของเรา พันธุกรรมของจิตมันพัฒนาๆ ขึ้นไป

เวลามาเกิด ปรารถนาเป็นพุทธมารดา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจุติ เกิดในครรภ์ เวลาประสูติแล้วนะ พระมารดาก็สิ้นชีวิต เพราะอะไร เพราะครรภ์นี้เกิดได้คนเดียว ครรภ์นี้โดยเฉพาะ เพราะมีการปรารถนามาไง

พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เป็นพระอรหันต์ของลูกอย่างนี้ไง แล้วบอกเป็นพระอรหันต์ของลูก เวลาเป็นวิทยาศาสตร์ มันเป็นความสนุกสนานของพ่อแม่ ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องไปเชื่อเขา เป็นความสนุกสนานของเขา

จะเป็นความสนุกสนานไม่สนุกสนาน เราเกิดในครรภ์น่ะ เลือดในอกน่ะ กลั่นออกมาจากเลือด

แล้วเวลาเขาบอกไม่มีบุญมีคุณ

หลวงตาท่านพูด ท่านเขียนไว้ โต้แย้งกับสังคมไว้ไง บอกว่า เราหลงป่าอยู่ มนุษย์เราหลงป่า จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมืดบอดอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วมันมีคนคนหนึ่ง นายพรานเดินออกจากป่าด้วยเขามีคบไฟของเขา เราเดินตามเขาไปออกจากป่า เราออกจากป่ามาได้ พรานนั้นมีบุญคุณกับเราหรือไม่ มี

แล้วเวลาพ่อแม่มึง เวลาเขาคลอดมึงมา ไม่มีบุญคุณเลยหรือ

นี่เวลาถ้ามันคิดทางโลกไง แต่ถ้ามันเป็นธรรมๆ มันลึกซึ้งกว่านั้นเยอะ

นี่ไง ถ้าเรามีสติมีปัญญา นี่พระอรหันต์ของเรา พระอรหันต์ของเราคือว่าให้ชีวิตนี้เรามา

เวลาหลวงตาท่านพูดอีกน่ะ พ่อแม่เราอาจจะมีผิดพลาดบ้าง พ่อแม่เราเวลามีอารมณ์ความรู้สึกบ้าง พ่อแม่เราเวลาคอยชี้แนะจนน่ารำคาญ นั่นก็เป็นเพราะความเมตตา ความรักของท่าน เวลามันจะขัดมันจะแย้งขึ้นมา แม้แต่พ่อแม่ผิดก็ไม่ให้โต้แย้ง

แล้วไม่ให้โต้แย้งมันก็ไม่เป็นประชาธิปไตยน่ะสิ มันก็ไม่เสมอภาคน่ะสิ

กรรมของสัตว์ไง เกิดในประเทศอันสมควรไง เกิดในประเทศ เกิดในท้องพ่อท้องแม่ที่มีคุณสมบัติที่ดีงามไง เราไปเกิดท้องพ่อท้องแม่เรา ท้องพ่อท้องแม่ที่มันลัทธิศาสนาอื่นไง เขาก็พาเราไปศาสนาอื่นน่ะ

เราเกิดในท้องพ่อท้องแม่ไหน ถ้าเกิดท้องพ่อท้องแม่นั้นแล้ว บุญคุณอันนี้มันใช้ไม่จบไม่สิ้นหรอก ถ้าใช้ไม่จบไม่สิ้น แล้วเราก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราก็เป็นมนุษย์ไง เราก็มีครอบครัวเหมือนกันไง เราก็จะไปมีลูกมีเต้าอยู่ข้างหน้าเหมือนกันไง มันเหมือนกันน่ะ มันเป็นเรื่องของโลก เป็นเรื่องบุญกุศลไง แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนลึกซึ้งมากกว่านั้น ถ้าสอนลึกซึ้งเข้ามา ลึกซึ้งเข้ามาในหัวใจของเราไง สอนลึกซึ้ง เห็นไหม

ฆราวาสธรรมๆ ให้มีกตัญญูกตเวที ให้มีหัวใจเป็นธรรม ถ้าหัวใจเป็นธรรมแล้ว เราจะไปวัดไปวา คำว่า “ไปวัดไปวาขึ้นมา” เรามาฟังธรรมอย่างนี้ เราเข้าไปวัดไปวาแล้ว เป็นที่อยู่ของผู้ทรงศีล ผู้มีคุณธรรม ถ้าเป็นผู้ที่มีคุณธรรมนะ มองก็รู้

พอมองก็รู้ เข้าไปในวัด วัดคือวัด วัดคือวัดใจ วัดคือวัดหัวใจ ไม่ใช่วัด อู้ฮู! วิจิตรพิสดาร

ไปโรงแรมก็ได้ โรมแรมสร้างดีกว่ามึงอีก

แล้วเขาไปวัด เขาไปดูที่นี่ไง วัดไม่ร้าง มันกิจของสงฆ์ๆ กิจของสงฆ์ก็ต้องเก็บกวาดรักษาลานเจดีย์โบสถ์วิหาร เขาต้องทำของเขา หน้าที่ของเขา นี่กิจวัตรของสงฆ์ ถ้ากิจวัตรของสงฆ์ ถ้าสงฆ์ทำอย่างนั้นแล้ว เราเข้าไปบ้านใคร บ้านใครที่สะอาดน่ารื่นรมย์ เราก็ชื่นชมใช่ไหม เราเข้าไปบ้านของใครมีแต่กลิ่นเหม็นกลิ่นอับขึ้นมา แสดงว่าเจ้าบ้านเจ้าเรือนไม่ดูแลรักษาเลย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ากิจของสงฆ์ กิจของสงฆ์ตรงนั้นไง แล้วถ้ามันมีคุณธรรมในหัวใจ มันปล่อยปละละเลยอย่างนั้นไม่ได้ ถ้ามันปล่อยปละละเลย มันก็ปล่อยปละละเลยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเราไง

แล้วกติกาคำสอน เป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราบอกว่าเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในหัวใจ แล้วพระธรรมสั่งสอนไว้อย่างนั้นแล้ว ธรรมบังคับไว้อย่างนั้น ธรรมวินัย แล้วมันก็ไม่ทำ แล้วบอกมันเคารพ

เคารพตรงไหน เคารพก็ทำสิ ไม่ต้องไปลอยหน้าลอยตาหน้าชื่นตาบานให้สังคมเขายอมรับหรอก นั่นน่ะเขาหัวดำๆ เขายังละของเขาไม่ได้เลย เขาจะมีคุณค่ากว่าสงฆ์ไปได้อย่างไร

สงฆ์ที่มีคุณค่ากว่าเขา แล้วมีคุณค่ากว่าเขาตรงไหน

ถ้ามันมีคุณค่ากว่าเขา มันก็มีคุณค่ากว่าเขาที่หัวใจนี้ ถ้าหัวใจนี้มันมีคุณค่าขึ้นมา มันละทิ้งไม่ได้ มันละ ถ้ามันละมันก็เท่ากับปล่อยพระพุทธเจ้า

มันปล่อยปละละเลยไม่ได้ ถ้ามันปล่อยปละละเลยมันก็เท่ากับปล่อยปละละเลยพระพุทธเจ้า ทิ้งพระพุทธเจ้า แล้วไปเอาใครล่ะ ทิ้งพระพุทธเจ้ามันก็ไปเอากิเลสตัณหาความทะยานอยากของคนไง มันถึงลอยหน้าลอยตา ชอบพวกสังคมไง ไร้สาระ

เวลามันพูดแล้วมันสะเทือนน่ะ มันไร้สาระเพราะอะไร เพราะเราก็เป็นมา เราก็ทุกข์มาอย่างนั้นใช่ไหม ถ้าเราทุกข์มาอย่างนั้น เราทิ้งมันแล้วไง เราทิ้งสถานะของความเป็นฆราวาสมาบวชเป็นพระไง ถ้าบวชเป็นพระ เป็นนักรบไง แล้วรบกับใครล่ะ รบกับกิเลสของเราไง รบกับความลังเลสงสัย ไอ้ความวิตกกังวลในใจ

นี่ศาสนาพุทธ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

จากฆราวาส ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพบวชเป็นพระได้หมดน่ะ ใครก็บวชได้ แล้วถ้าเป็นฆราวาสถ้าไม่ได้บวช บวชหัวใจยิ่งยอดเยี่ยมใหญ่ ถ้าบวชหัวใจของเขานะ เขามีสติมีปัญญารักษาหัวใจของเขาขึ้นมา ถ้ารักษาหัวใจของเขาขึ้นมานะ พอมันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ดูสิ หลวงตาเวลาท่านปฏิบัติไป พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์รวมลงเป็นหนึ่งในใจของเรา ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต นี่ขนาดทำความสงบของใจนะ

ถ้าในมันสงบขึ้นมา พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พระพุทธเจ้าพูดมันเป็นพุทธศาสน์ มันยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์คือวิเคราะห์วิจัยไปอย่างนั้นน่ะ

แต่พุทธศาสน์ จิตนี้มาจากไหน พระเวสสันดรไป เชื่อไม่เชื่อ ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชาติสุดท้ายมาเกิดเป็นพระเวสสันดรก่อน แล้วย้อนไป ๑๐ ชาติ สหชาติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ต้องเป็นอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ทุกๆ พระองค์ต้องสละลูกสละเมีย ชาติสุดท้าย สละลูกสละเมีย ต้องสละหมด นี่ไง กัณหา ชาลี สละเพื่ออะไร

สละเพื่อสั่นคลอนหัวใจ หัวใจของสุภาพบุรุษเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบ แล้วลูกเราเขาก็มาขอไป ภรรยานะ ที่ดูแลกันมา ฟูมฟักกันมา เขาก็มาขอไป ถ้ามันให้ด้วยน้ำใสใจจริงนะ ทั้งๆ ที่ก็รู้ มันมีความรักมีความผูกพัน เพราะคนมีกิเลส ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนเรานี่ ปุถุชนเหมือนกัน มันก็มีความรัก ความผูกพัน ความปรารถนาเหมือนกัน แต่วาสนา วาสนาบารมีไง ในเมื่อจะเสียสละก็ต้องเสียสละ

แต่ถ้าเป็นธรรมนะ มันเสียสละ เสียสละเพราะอะไร เพราะพระโพธิสัตว์สร้างสมมาๆ นี่ไง เวลาเสียสละไปแล้ว มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่มีความรู้สึกว่าเจ็บปวด มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันมีทั้งนั้นน่ะ แต่ท่านมีอำนาจวาสนาของท่านไง แล้วเวลาสละแล้วมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กลับไปโปรดนะ สิ้นกิเลส สิ้นกิเลสไปทั้งนั้นเลย คำว่า “สิ้นกิเลส” มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกอยู่ในหัวใจเรา อยู่ในหัวใจของผู้รู้นั่นน่ะ

เวลามันทุกข์มันยากอยู่นี่ ความรู้สึกนึกคิดนี้มันบีบคั้นหัวใจ ธรรมโอสถสามารถรักษาได้หมดเลย สติมันยับยั้งความรู้สึกนึกคิดเราได้ แต่มันจะเป็นไปได้ต้องเราฝึกหัด

ทุกคน ๙ ประโยค รู้ธรรมะหมดน่ะ แต่สติตัวจริงๆ มันก็เกิดขึ้นมาไม่ได้ สมาธิตัวจริงๆ มันก็ไม่มี แล้วถ้าเป็นปัญญาภาวนามยปัญญามันเกิดไม่ได้เลย เกิดไม่ได้เพราะมันหลงตัวมันเอง มันหลงมันใหล มันปลิ้นมันปล้อน มันเลียกินสเลดของกิเลสทุกวันๆๆ แต่ปฏิญาณตนว่ายิ่งใหญ่นะ คำว่า “ยิ่งใหญ่” เพราะมันติดตัวมันเอง

แต่หลวงตาท่านสอน เราอยู่กับครูบาอาจารย์ที่ดีมา มันได้สิ่งนั้นมาไง ท่านบอก ไม่ติดตัวเราเองแล้วไม่ติดใครทั้งสิ้น

ไม่ติดตัวเราเองคือพยายามทำของเรา มันข้อเท็จจริงไง เวลาธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติคือสัจธรรมความจริงมันเป็นธรรมชาติของมันอยู่ แต่ไม่มีใครมีสติปัญญารู้เท่าทันสิ่งที่เป็นธรรมชาติไม่ได้ พอรู้สิ่งที่เป็นธรรมชาติแล้วทิ้งละธรรมชาตินี้ไว้

“โมฆราช เธอจงมองโลกนี้เป็นความว่าง”

โลกนี้เป็นความว่าง แล้วเราจินตนาการได้หมดน่ะ โลกนี้เป็นความว่าง แล้วกลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ คนที่รู้ว่าว่างน่ะ ไม่ติดตัวเราเอง

พอเราบอก โมฆราช เธอมองโลกนี้เป็นความว่าง

ในศาลานี้ก็นั่งกันอยู่ ก็มองว่าว่างหมดเลย แต่มันไม่ว่างหรอก มันมีต้นไม้ต้นนี้ มีเสานั้น เถียงกันไม่ตาย ว่างของใคร ว่างของใคร แม้แต่ความว่างมันก็มาเถียงกันนะ เพราะเป็นอจินไตย ๔ พุทธวิสัย โลก กรรม ฌาน ความว่าง ความว่างที่ว่ามันรู้มันเห็น นี่เรื่องของฌาน

เพราะว่าความว่างมันหลากหลาย มันหลากหลายมาก แล้วมันอยู่ที่อำนาจวาสนาของใจดวงนั้น ใจดวงใดมีอำนาจวาสนามากก็ทำได้ดีมาก อำนาจวาสนาเล็กน้อยก็ได้เล็กน้อย แม้แต่ในพระไตรปิฎก พระอรหันต์ระลึกชาติได้ ๑ ชาติ ๒ ชาติ ๓ ชาติ ๑๐ ชาติ แสนชาติไม่เท่ากัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีต้นไม่มีปลาย ทำได้หมด นี่เวลามันเป็นจริง มันเป็นจริงในหัวใจอันนั้นไง

ถ้าเวลามันเป็นจริงในหัวใจอันนั้น ถ้ามันจะเป็นจริง สิ่งที่เป็นจริง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ถ้ามันเข้ามา แล้วถ้ามันเป็นอริยสัจ มันเป็นความจริงอันเดียวกัน ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ ไอ้นี่มันเรื่องเบสิกพื้นๆ เลยนะ

แล้วเราก็บอกว่าทุกข์นู้นๆๆ

เวลาหลวงตาท่านพูด แต่เราก็ตีความกันไม่ออก แล้วเราคิดไม่ได้ด้วย ท่านบอกว่า กิเลสมันถ่าย ขับถ่ายขี้บนหัวใจเราไป ทุกข์น่ะ แล้วมันไปแล้ว พอมันไปแล้วเราค่อยตื่นขึ้นมา โอ๋ย! ทุกข์ โอ๋ย! ทุกข์

ทุกข์คือสัญญาอารมณ์ไง ทุกข์เพราะมันเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่เราทุกข์ไง แต่ที่อารมณ์ความรู้สึกนั่นน่ะมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ

กิเลสมันมาขับถ่ายเอาไว้บนหัวใจ ภวาสวะ แล้วมันก็ไปแล้ว มันไปนอนหลับสบาย ไปนอนกระดิกเท้าอยู่นู่นน่ะ กิเลสน่ะ ไอ้คนที่มันรับขี้ไว้ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง เพิ่งตื่น พอตื่นแล้วทุกข์ๆๆ บางทีเราขำ เราก็ขำ เพราะมันไม่เป็นความจริงไง

ถ้าเป็นความจริง ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์อันนี้มันทุกข์จากอริยสัจ ทุกข์จากหัวใจดวงนั้น แล้วความทุกข์อันนี้ ทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้

เรานั่งอยู่ได้ไหม นอนอยู่ได้ไหม ทำอิริยาบถเดียวได้ไหม มันทนความเคลื่อนไหว ทนกิริยาของตัวเองได้หรือไม่ นั่นน่ะทุกข์ทั้งนั้นน่ะ แล้วถ้าทุกข์ถ้ามันจับได้นะ มันมหัศจรรย์ของมัน ทุกข์ แล้วเหตุมันล่ะ

ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ต้องกลับไปแก้ที่เหตุนั้น แต่เวลาถ้าแก้ที่เหตุนั้น มันก็อยู่ที่จริตนิสัย คำว่า “จริตนิสัย” คือกรรมของคน กรรมของคนไม่เท่ากัน เหตุไม่เหมือนกัน เหตุแตกต่างกัน แล้วพอเหตุแตกต่างกัน สิ่งที่มีคุณค่าที่จะไปกำจัดมันมีน้ำหนักมากน้อยแค่ไหน ถ้าคนที่กิเลสมันไม่ได้เข้มข้นเกินไปนัก พอประมาณ มันก็กำจัดได้ ความกำจัดได้ มัชฌิมาปฏิปทาไง

แล้วดูสิ เวลาพระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์แล้ว เวลาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายมีฤทธิ์เหาะหนีเขาไปหมด

เวลาคนจะทำลายพระพุทธศาสนา เพราะศาสนาพุทธเกิดขึ้นมาแล้วมันไปแย่งชิงศาสนาอื่นหมดไง ทุกศาสนาประชุมกันว่าจะต้องทำลายพระพุทธศาสนา ประชุมกันว่า ถ้าจะทำลายพระพุทธศาสนา จะทำลายใครก่อน จะต้องฆ่าพระโมคคัลลานะก่อน เพราะพระโมคคัลลานะเป็นผู้มีฤทธิ์ ไปสวรรค์ไปนรกมา แล้วก็เอามาพูดต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารับประกันไง ก็ต้องฆ่าพระโมคคัลลานะก่อน

ไปฆ่าสองหนสามหนนะ เหาะหนีๆ ไง ถึงเวลาแล้ว สิ่งที่ว่าท่านพิจารณาของท่านเอง อ๋อ! เรามีกรรมของเราอยู่

นี้เราบอกว่าคำว่า “กรรม” ไง ขนาดจริตนิสัยขนาดนี้ เป็นพระอรหันต์นะ อัครสาวกนะ มีฤทธิ์มีเดชนะ ถึงเวลากรรมแล้วท่านยอมรับ

กมฺมพนฺธุ กมฺมปฏิสรโณ เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย แล้วตอนนี้เราก็พยายามจะสร้างกรรมดี เราเกิดเป็นมนุษย์แล้ว กรรมคือการกระทำ

ไม่เคยน้อยใจ จริงๆ เราไม่เคยน้อยใจ ไม่เคยทุกข์ ไม่เคยเสียใจอะไรเลย เพราะอะไร เพราะเราทำทางนี้ เขาว่าเรา เพราะเราว่าเขา เราติเขา เขาก็ติเรา เราทำอะไรเราได้ผลลัพธ์เพราะเราทำทั้งนั้นน่ะ เราทำ แล้วมึงโทษใคร ก็โทษตัวเองไง ถึงไม่เคยคิด ไม่เคยเสียใจสิ่งใดเลย

แต่นี่เราจะทำกรรมดี สิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วเรามีสติมีปัญญาเท่าทันมัน อย่าไปน้อยเนื้อต่ำใจกับชีวิตนี้ ชีวิตนี้ที่ได้มาจากพ่อจากแม่นี้สุดยอด เพราะชีวิตนี้มีค่า ความรู้สึกนี้มีค่าที่สุดนะ แล้วเรามาค้นคว้า ค้นคว้าหาของเรา

เรามีชีวิตอยู่ ถ้าเราจะใช้ชีวิตทางโลก เราก็มีธรรมะเป็นเครื่องอาศัย ธรรมโอสถเพื่อเป็นที่คุ้มครองเรา คุ้มครองหัวใจอย่าให้มันดีดดิ้นเกินไป คุ้มครองหัวใจไว้ไม่ให้มันทุกข์มันยากไง แล้วถ้ามันประพฤติปฏิบัติเข้าไปนะ ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงนะ มันจบสิ้นกระบวนการในหัวใจ นั่นยิ่งสุดยอด นี่ไง พระพุทธศาสนาถึงมีคุณค่าอย่างนี้ไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ฉะนั้น เราไปวัดไปวาขึ้นมา ฟังธรรมๆ ฟังธรรมก็เรื่องของเราทั้งนั้นน่ะ เรื่องหัวใจดวงนี้ แล้วใจทุกดวงเหมือนกันหมด แล้วถ้าใจดวงไหนที่มันเข้าใจครบวงจรแล้ว จบ

ถ้ายังไม่ครบวงจรนะ จะได้ขั้นใดขั้นหนึ่งก็แล้วแต่ มันก็ยังมีกิเลสคอยปัดแข้งปัดขาอยู่ มันมีทั้งนั้นน่ะ พอมันมีทั้งนั้นแล้ว สิ่งที่มีคือกิเลสมันมี แล้วถ้าสิ่งที่มีไม่ต้องไปพิสูจน์หรอก เพราะนั่งอยู่นี่มันใช่อยู่แล้ว เพราะอวิชชาพาเกิด

ไม่ต้องบอกว่าเราไม่มี กิเลสอยู่ไหน

ไม่ใช่ มึงเกิดอยู่นี่ แจ้งๆ อยู่นี่แหละ เกิดอยู่นี่กิเลสทั้งนั้น แล้วเรามาค้นคว้ามาประพฤติปฏิบัติกันเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

อย่าไปคิดว่าเราจะเอาให้ได้ๆ มันจะทุกข์ยากเกินไปนะ เราทำบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของเรา แล้วใจเราจะประเสริฐขึ้น ดีขึ้น พัฒนาขึ้น แล้วเราจะมีน้ำใจ มีสามัญสำนึก มีความคิดที่ดีงาม แล้วไม่ต้องไปทำให้ใครหรอก ทำให้ตัวเองนั่นแหละ ทำให้ใจเรานี่แหละ เอาหัวใจเราไว้ในอำนาจของเราประเสริฐที่สุด เอวัง